วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มุมมองด้านความรัก

ความรักเป็นสิ่งที่ดี และสวยงาม
เพียงแต่เราจะมองความรักเป็นแบบไหน
มันก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับบุคคลแต่ละคน

บางคนมองว่า "รักคือการให้"
บางคนมองว่า "รักคือการเป็นเจ้าของ"
บางคนมองว่า "รักคือความมั่นคง"
บางคนมองว่า "รักคือฐานะทางสังคม"
บางคนมองว่า "รักคือการแย่งชิง"
บางคนมองว่า "รักคือการหึงหวง"
บางคนมองว่า "รักคือ.............."

อีกหลายมุมมอง ซึ่งตรีบอกได้เลยค่ะว่า "ทุกคนมองความรักกันไปในคนละแบบ"
แต่อยากจะบอกให้รู้จังเลยค่ะ ว่าจริง ๆ แล้วความรักมันมีความสวยงามอยู่ในตัวของมันเอง
มันจะสอนให้เรารู้จักกับคำว่า "เสียสละ" และ "การให้"
แต่ในขณะเดียวกัน ความรักของคนในสมัยนี้ มันไม่ได้แปลความหมายอย่างนั้นแล้วนะคะ
เพราะสมัยนี้ความรักสอนให้เรารู้จักกับคำว่า "ครอบครอง" และ "ยึดติด"

การแก้ไขเวรกรรมทางด้านความรักนั้น
โดยเนื้อแท้ ๆ ของมันแล้ว เราจำเป็นจะต้องมองเข้าไปในตัวเองลึก ๆ มากกว่า
มองเข้าไปแบบไม่ต้องมีความเสแสร้งหรือเข้าข้างตัวเองนะคะ
ว่าเราต้องการอะไร และสิ่งที่เราต้องการนั้นมันทำประโยชน์ให้กับเราและคู่ของเราไม๊
หรือที่เราทุ่มเททั้งหมดไป เพื่อแลกกับความไม่จริงใจที่เค้ามอบให้มาใช่หรือไม่

ถ้าเป็นแบบนี้ต้องบอกเลยนะคะว่า "เตรียมตัวเจ็บได้เลยค่ะ"
จะเจ็บมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับคำ ๆ เดียวค่ะ "สติ"
การเจอความรักไม่ว่าจะรูปแบบใดก็แล้วแต่
"สติ" จะสามารถประคับประคองให้เรามีแสงสว่างในการมองเห็นความรักค่ะ

ใครบางคนคงกำลังถามว่า แล้วจะไปหา "สติ" มาจากไหนคะ
"สติ" เกิดจากการที่เรามองโลกไปตามความเป็นจริงค่ะ
ไม่ใช่แบบว่ามองแล้วเอื้อให้กับตัวเองแบบนั้นไม่ใช่นะคะ
มองจริง ๆ ว่านี่คือความรัก ความหลง ความโลภ ความอยาก
หรือคือการให้

ข้อนี้คิดกันเองได้นะคะ

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คติประจำวันนี้

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ไม่เคี้ยวคดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

สอนให้รักตัวเองก่อนนะคะ
ก่อนจะไปรักใคร จงซื่อสัตย์และจงเชื่อมั่นในตนเองเสมอ
อย่ารักใครหรือหวังดีกับใครจนลืมตัวของเราเองนะคะ

สำคัญเสมอ เพราะเจ็บกับเรื่องแบบนี้ตลอดจริง ๆ

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กรรมดีคืออะไร

กรรมดี คืออะไร

กรรมดี คือการทำความดีประเภทต่าง ๆ นะคะ
ไม่ใช่แค่ว่าเป็นการทำบุญ ทำทาน
สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ภาวนาแค่นั้นนะคะ
แต่เป็นการทำความดีซึ่งเกิดขึ้นมา
เพราะต้องการเห็นผู้อื่นพ้นทุกข์
หรือการช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
แค่อยู่เฉย ๆ ไม่อาฆาตพยาบาทก็เป็นการสร้างกรรมดีแล้วค่ะ

หรือแม้แต่คนที่มีศัตรู หรือคู่อาฆาต
หรือคนที่เค้าทำให้เราเจ็บช้ำ แต่เราไม่อาฆาตเค้า
เราให้อภัย และอโหสิกรรมให้
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการสร้างกรรมดีนะคะ

และกรรมดีครอบคลุมถึงอะไรบ้าง
แม้แต่การเปลี่ยนน้ำหน้าพระ ทำความสะอาดหิ้งพระ
การดูแลบุพการี การเลี้ยงดูบุตรตามหน้าที่ และกำลังความสามารถ
หรือการทำหน้าที่เป็นคนในสังคมที่ดี
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกรรมดีนะคะ

ไม่จำเป็นต้องเป็นการสวดมนต์
การไหว้พระ หรือการนั่งสมาธิหรอกนะคะ
แต่การสวดมนต์ หรือการนั่งสมาธิ เป็นการทำบุญขั้นสูงค่ะ
เป็นการทำบุญที่เราเรียกกันว่า "ปฏิบัติบูชาค่ะ"
ไม่ต้องใช้เงินตรา แค่พาสังขารนี้ไปนมัสการพระรัตนตรัย
แค่นั้นเองค่ะ และสิ่งที่เราได้รับกลับมาก็คือ "สติ และปัญญา"

กรรมดีมีมากมายนะคะ
แค่เราไม่คิดร้ายกับผู้อื่น
ไม่อิจฉาริษยา ไม่อยากได้ในสมบัติของผู้อื่น
ไม่นอกใจ นอกใจคู่สมรส
ไม่โกหก ปลิ้นปล้อน กะล่อน ตอแหล
หรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง
สิ่งเหล่านี้ล้วนครอบคลุมกิจวัตรประจำวันของเราหลาย ๆ คนนะคะ

กรรมดีไม่จำเป็นต้องเข้าวัดค่ะ
ขอแค่ทำความเข้าใจกับธรรมะนะคะ
เพราะ "ธรรมะ คือ ธรรมชาติ" ค่ะ
ไม่ใช่การฝืนธรรมชาติ หรือฝืนการเป็นตัวเรานะคะ
ทำอะไรที่เป็นปกติ และไม่ละเมิดผู้อื่น
แค่นี้ก็เป็นการสร้างกรรมดีแล้วนะคะ

การแก้กรรม ใช้เวลานานไม๊

คำถามนี้มักจะเกิดขึ้นสำหรับหลาย ๆ คน
ที่ดวงตกแล้ว หรือเริ่มจะตก หรือเริ่มมีปัญหามากมาย
หรือทำอะไรแล้วติด ๆ ขัด เกือบจะทั้งนั้น

โดยปกติแล้วสำหรับหนทางในการแก้ไขกรรมนั้น
คือการสร้างกรรมใหม่ซึ่งเป็นกรรมดีขึ้นมา
เพื่อบรรเทากรรมเก่าซึ่งกำลังส่งผลอยู่ในปัจจุบันนะคะ
และกรรมใหม่ซึ่งเป็นกรรมดีเนี่ย กว่าจะส่งผลต้องใช้เวลาค่ะ
เพราะกว่าที่เราจะดวงตก หรือกว่าที่เราจะพบเจอปัญหา
หรือกว่าที่ปัญหามันจะพอกจนมากมายขนาดนี้แล้ว
มันก็ต้องใช้เวลาด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ตอนนั้นเราไม่ได้เอะใจค่ะ
เราไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น หรือเราอาจจะหลงมัวเมากับทางโลกมากไป
หรือจะด้วยผลแห่งกรรมเก่าปิดบังไว้ ทำให้เราไม่เอะใจ ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุแห่งความประมาททั้งสิ้นนะคะ
และกรรมดีกว่าจะส่งผลก็ต้องใช้เวลาเช่นเดียวกันค่ะ
ถ้าทำบ่อย ๆ ทำทุกวัน ทุกอาทิตย์หรือทุกเดือน
ก็อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน 3 เดือนหรือ 1 ปี
ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการทำความดีนั้น ๆ นะคะ

จำไว้นะคะสำหรับทุกท่านที่ดวงตก
ท่านจะต้องอดทน เพียรพยายามสร้างความดี
และต้องรอคอยเวลาให้ความดีส่งผลนะคะ
โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปบนบานศาลกล่าวหรอกค่ะ
เพราะการบน ยิ่งจะทำให้เราติดขัดหนักกว่าเดิมนะคะ
และเป็นหนทางแห่งคนที่ไม่มีสติปัญญาค่ะ

ยิ่งบน ยิ่งเจอปัญหานะคะ
ยิ่งติดขัด ยิ่งเจอทางตันค่ะ
และที่สำคัญถ้าบนแล้วจะไม่ได้
งานนี้ต้องแก้เรื่องการติดสินบนอีกด้วยนะคะ

ทางที่ดีควรเพียรสร้างกรรมดีไปเรื่อย ๆ ดีกว่านะคะ

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รัก คือ ทำให้ดีที่สุด แล้วปล่อย

หลาย ๆ คนดิ้นรน ค้นหาความรักที่แท้จริง
อยากจะบอกให้ทุก ๆ คนได้รู้ว่า
ความรักที่แท้จริง คือ รักที่บริสุทธิ์
รักที่ เป็น การให้
และ รัก ที่ได้เห็น คนรักมีความสุข

ไม่ใช่สมัยนี้ ตอนนี้ที่ความหมายของความรักได้เปลี่ยนไปแล้ว
รัก คือ การครอบครอง การแย่งชิง การยึดติด
รัก คือ ความหวง ความอาวรณ์ และความเป็นเจ้าของ

สิ่งเหล่านี้ ล้วนคือ โมหะ "คือ การลุ่มหลง"
ใครก็ตามต่อให้เก่ง หรือเป็นใครที่ยิ่งใหญ่มาจากไหนก็แล้วแต่
เจอ โมหะ เข้าไป รอดยากทุกคน
ดังนั้น การดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งรอบด้านล้วนมีแต่กิเลส
มีแต่ความอยาก มีแต่ความดิ้นรน มีแต่การแย่งชิง และขวนขวาย
เพื่อให้ชีวิตของตนนั้นได้อยู่บนพื้นฐานชีวิตที่ีมั่นคง
มีชื่อเสียง มีลาภยศ มีความเด่นดัง มีความคล่องตัว

จะมีใครบ้างที่สามารถปลด และปลงได้ บนพื้นฐานแห่งความเสียสละ
ชีวิตมนุษย์นี้สั้นนัก มัวดิ้นรน ยึดติดอยู่กับสิ่งเร้ารอบตัว
กว่าจะรู้ตัว หรือได้สติอีกครั้งก็เจ็บจนเกินที่จะสามารถทนได้

อยากหลุดพ้นจากภาวะเหล่านี้หรือไม่

ถ้าอยาก จงจดจำไว้ว่า "ความรัก คือ การเสียสละ"

และเรารู้หรือไม่ว่า ต้องเสียสละอย่างไร

1. เราต้องเคารพในสิ่งที่คนรักของเราเลือก

2. เราต้องยินดีเมื่อคนรักของเราได้ในสิ่งที่เค้าต้องการ

โมหะนั้น เหมือนหมอกบาง ๆ ที่คอยกั้นไม่ให้เราสามารถมองเห็นความจริงที่เกิดขึ้น

ทำให้เรายึดติด ว่าตัวเรานั้นถูกเสมอ และสิ่งที่เราทำนั้นถูกที่สุด

คอยปิดกั้นไม่ให้จิตสำนึก หรือสัญชาตญาณคอยเตือนเราได้ในสิ่งที่เราได้กระทำ

กว่าจะรู้ตัวว่าโดน "โมหะ" เข้าครอบงำ ตอนนั้นสำหรับบางคน ก็สายเกินไปเสียแล้ว

การมี "สติ" เท่านั้นที่จะสามารถทำให้เรารู้ตัว และรู้ทัน ต่ออำนาจแห่งความลุ่มหลง

แต่วิธีจะฝึกสติให้เกิดกับเราตลอดเวลานั้น จำเป็นต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างรวมกัน

นั่นคือ การทำบุญ การทำทาน การสวดมนต์ และการเจริญภาวนา

สิ่งเหล่านี้ ล้วนสอนให้เรามีสติอยู่กับตัว และไม่ปล่อยใจไปไกลเกินตัว

หนทางแห่งการฝึกฝน มันช่างยากเย็น แต่ไม่มีอะไรสามารถเอาชนะความเพียรของมนุษย์ไปได้



วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความจริงของ "ชีวิต"

เคยคิดฝันไว้ตั้งแต่เด็กว่า
อยากร่ำรวย อยากมีชื่อเสียง
อยากมีฐานะการเงินที่ดี
อยากมีหน้าตาในสังคม
อยากให้มีแต่คนชื่นชม

ระยะเวลาผ่านมาแล้วกว่า 30 ปี
ทุกอย่างไม่เป็นไปตามความฝัน
กว่าจะได้รู้ความลับของชีวิต
ก็เล่นเอาซะ แทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน
เพราะมรสุมของชีวิตที่หนักหนาสาหัส

ผ่านมาแล้ว 2 ปีหลังจากได้รับรู้ว่า
จริง ๆ แล้วทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกใบนี้
ล้วนเกิดมาเพื่อชดใช้เวรกรรม
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ตัวเราเองได้เคยทำไว้แล้วทั้งสิ้น

ได้โปรดอย่าไปถามใครเลยนะคะ
ถ้าหากมีคนทำให้เราเจ็บปวด มีความทุกข์
ท้อแท้ ผิดหวัง อกหัก ทรยศ โศกเศร้า
หึงหวง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น
จากบุคคลที่เราเรียกเค้าว่า "คนที่รักยิ่ง"
ซึ่งอาจจะรักมากกว่าบุพการีของตนเองด้วยซ้ำไป

แต่สำหรับดิฉันบุคคลเหล่านี้
ดิฉันเรียกเค้าว่า "เจ้ากรรมนายเวร"
เพราะถ้าเราไม่เคยทำกรรมกับใครไว้ก่อน
บอกได้เลยนะคะว่า ไม่มีใครสามารถมาสร้างความเจ็บช้ำให้กับเราได้หรอกค่ะ
ทำไมคนที่เดินถนนผ่านไปผ่านมา
ถึงไม่สามารถก่อทุกข์ให้กับเราได้เลยแม้เพียงเศษเสี้ยว
แต่กับคนบางคนทำให้เราเป็นทุกข์แทบล้มประดาตาย

อย่าต่อเวร อย่าต่อกรรม กันอีกต่อไปเลยนะคะ
อย่าไปอาฆาต อย่าไปเอาคืน อย่าไปสาปแช่ง กันอีกเลยค่ะ
คงไม่มีใครอยากเจ็บปวดแบบนั้นอีกแล้วใช่ไม๊คะ
คงไม่มีใครอยากทรมานแบบนั้นอีกแล้วใช่ไม๊คะ
ขอให้ความแค้น ความอาฆาต ความพยาบาท
มันจบลงที่เราเถ่อะค่ะ  การให้อภัย คือทานสูงสุดแล้วนะคะ

มนุษย์ เป็น ชาติภพเดียวที่จะทำให้เราทุกคนหลุดพ้น
ลด ละ เลิก ความอยากได้ใคร่ดี ความอยากมีอยากเป็นเถ่อะนะคะ
คำของพ่อหลวงที่สอนไว้ "เพียงพอ และพอเพียง"
สิ่งต่าง ๆ ผ่านเข้ามาแล้วมันก็ต้องผ่านไปค่ะ
ไม่มีอะไรจีรังนะคะ วันนี้เราสุข พรุ่งนี้เราทุกข์

ความสุขก็ไม่ได้อยู่กับเรานาน
ความทุกข์ก็ไม่ได้อยู่กับเรานาน
ความรักก็ไม่ได้อยู่กับเรานาน
ความแค้นก็ไม่ได้อยู่กับเรานาน
แม้แต้ความหนุ่มสาวยังอยู่กับเราได้ไม่นาเลยค่ะ
ทุกอย่างบนโลกนี้มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และต้องดับไปเสมอนะคะ




วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กรรมทางด้านการเงิน

กรรมทางด้านการเงิน เกิดจาก
การที่เจ้าของดวงชะตาเคยไปหยิบยืมเงินจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายไว้
แล้วไม่ใช้คืนก็ดี เคยใช้คืนแล้วก็ดี แต่อาจจะไม่หมด
เคยไปคดโกง เคยไปขโมย เคยไปฉ้อโกงเค้าไว้
และทำให้เค้าผูกพยาบาท อาฆาตและจองเวรนะคะ

กรรมนี้จะส่งผลอย่างไรต่อเจ้าของชะตา
จะทำให้เจ้าของดวงชะตามีเหตุให้ต้องติดขัดในเรื่องของการเงิน
มีเงินเท่าไหร่ไม่เคยพอใช้ จะให้มีมาก หรือมีน้อยก็ตามที
ก็จะมีเหตุให้จำเป็นต้องใช้จ่ายออกไปอยู่เสมอ
ทั้งแบบที่จำเป็นต้องจ่าย กับแบบที่จำใจต้องจ่ายนะคะ

เจ้าของดวงชะตาจะไม่ถึงขั้นไม่มีจะกินนะคะ
แต่จะมีแบบติด ๆ ขัด ๆ พอมีเงินเข้ามาก็จะต้องจ่ายออกไปแทบจะทันที
จะเป็นอย่างนี้อยู่ไม่ตลอดเวลา ก็แทบจะสม่ำเสมอ
จนทำให้เกิดความเคยชิน และน้อยเนื้อต่ำใจกับโชคชะตาเสมอ

วิธีการแก้ไขนะคะ
ควรทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ ไหว้พระ บริจาคโลงศพ
หรือแม้แต่การให้อาหารสัตว์จรจัด หรือบริจาคทานนะคะ
แล้วอุทิศบุุญทั้งหลายที่เจ้าของดวงชะตาได้รับ
ให้ถึงแก่เจ้ากรรมนายเวรทางด้านการเงินที่กำลังส่งผลอยู่ในขณะนี้
ทำบ่อย ๆ นะคะ ทำให้เป็นนิสัยนะคะ
แล้วเรื่องต่าง ๆ จะค่อย ๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ไม่ใช่ว่าทำตูมเดียว ทีเดียวเยอะ ๆ
แล้วหายไป ไม่ทำอีกต่อไปเลย
ถ้าทำเช่นนั้น ขอบอกไว้เลยนะคะ ว่าไม่เห็นผลค่ะ
ต้องค่อย ๆ ทำนะคะ ทำไปเรื่อย ๆ ทำบ่อย ๆ เสมอ ๆ
แล้วทุกอย่างก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นค่ะ

งานนี้ต่อให้มีเงินกองเป็นแสนเป็นล้าน
ก็จำเป็นต้องใช้ความเพียร และระยเวลาในการสั่งสมบุญ
เพื่ออุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรนะคะ เพื่อให้เค้าอโหสิกรรมให้เราค่ะ
"ความเพียรเลิศ เป็นเครื่องขูดกิเลสหายนะคะ"

การให้

หลายคนต้องการให้คนสนใจ ห่วงใย ใส่ใจ
แต่เคยถามตัวเองสักนิดไม๊คะ
ว่าก่อนที่จะเรียกร้องให้คนอื่นใส่ใจตนเองนั้น
คุณเคยใส่ใจผู้อื่นก่อนหรือไม่

กรรม

กรรม คือ การกระทำ
บุญ กับ กรรม มีคุณค่าเหมือนกันนะคะ
แต่ บุญต่อให้สร้างมากมายแค่ไหน
ทำได้แค่บั่นทอนให้กรรมได้บรรเท
าเบาบางลงเท่านั้น
ไม่สามารถทำให้กรรมชั่วเหล่านั้นสูญสลายหายไปได้
ทุกคนจำเป็นต้องรับผลของกรรมทั้งนั้นค่ะ

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แก้กรรมเรื่องการเงินกันดีกว่า

สำหรับใครก็ตามที่ต้องประสบพบเจอกับปัญหาเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พบเจอเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย
ประสบพบเจอแล้วกับวันที่ีมีเงินเหลือเฟือมากมายจนใช้ไม่หมด
หรือแม้แต่เงินที่จะทานข้าวยังหาไม่เจอ

เรารู้สึกบ้างไม๊ว่า ทำไมชีวิตเราจะต้องวนเวียนอยู่แค่นี้
มีเงินอยู่ 3 วัน เงินขาดมือ 2 วัน ต้องหมุนเงินอีก 7 วัน
เป็นอยู่อย่างนี้จนเหนื่อยใจ จนท้อแท้ จนต้องพึ่งพาหมอดู
บางครั้งวิธีแก้ไขจากหมอดูก็ช่วยเราได้นะคะ
แต่อยากให้จำไว้สักนิดนะคะ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเอง
สักวัน วัฏจักรนี้ก็จะวนเวียนมาหาตัวเราอีกเสมอ

วิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดเลยนะคะ
1. รู้จักวางแผนการใช้เงิน
(ไม่ต้องไปรอหวังเงินในอนาคต หรือเงินจากบัตรเครดิตนะคะ
เรามาลองดูกันสิว่า เงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือน มันพอไม๊
จะใช้ยังไงให้เพียงพอกับความจำเป็นของชีวิตนะคะ ไม่ใช่เพียงพอ
ต่อความต้องการของชีวิต เพราะชีวิตนี้มันต้องการตลอดแหล่ะค่ะ)

2. รู้จักเก็บเงิน
(ถ้าแม้แต่ตัวเองยังเก็บไม่ได้ ก็อย่าคิดเลยนะคะว่าจะมีวันที่เก็บเงินได้)

3. รู้จักทำบุญอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรทางด้านการเงิน
(นี่คือสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่ถ้าเราวางแผนการเงินมาดี
เก็บเงินมาดี แต่ต้องเจอกับปัญหาที่คิดไม่ถึงอยู่ประจำสม่ำเสมอ ควรทำตามข้อนี้นะคะ)

4. สวดมนต์ค่ะ สวดคาถาเงินล้าน ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
(อย่างน้อย ๆ เลยคือสวดทุกวัน ๆ ละ 9 จบ แต่ถ้ายิ่งทำได้มาก
ยิ่งทำได้เยอะ ก็จะยิ่งดีกับตัวของเราเองนะคะ)

ทุกข้อที่บอกไปข้างต้น ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับตัวของเราเองทั้งนั้น
ว่าจะทำได้ไม๊ ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ มั่นใจว่าทำได้
ยังไงก็ทำได้ค่ะ คำว่า "เก็บเงินไม่อยู่" มันไม่มีหรอกนะคะ
ที่มันเก็บไม่อยู่ เพราะเรามัวแต่เอาเงินไปบำบัดความอยาก
ความต้องการต่าง ๆ ที่มันเกินความจำเป็น แค่นั้นเอง

เรื่องการเงิน จำเป็นต้อง ซื่อสัตย์กับตนเองนะคะ
ถ้าหากเรายังโกหกตัวเราเองอยู่ในเรื่องนี้
ต่อให้ชาตินี้ได้เงินเยอะแค่ไหน ก็ไม่มีวันพอหรอกค่ะ

การให้อภัย

สำหรับสังคมไทย ที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่
โดยปกติแล้วศาสนาพุทธ จะค่อยๆ กล่อมเกลาจิตใจของเรา
ให้มีความละเอียด ถี่ถ้วน รอบคอบ และรู้ทันปัญหา
เพียงแต่ถ้าเราจะเป็นคนดี นั่นไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเป็นคนโง่นี่นา

การที่เรารู้จักให้อภัยผู้อื่น  ให้โอกาสผู้อื่น
นี่ไม่ได้แปลว่า "เราโง่" หรือ "เจ็บแล้วไม่จำ"
เพียงแต่นี่คือสิ่งที่หลาย ๆ คนทำได้ยากมาก ๆ เลยนะ
ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่สามารถให้อภัยผู้อื่น
หรือแม้แต่ให้โอกาสผู้อื่นแม้เพียงเล็กน้อย
นั่นถือว่าคุณก็เป็นคนนึงแล้วนะคะ
ที่สามารถเอาชนะใจตนเองได้แล้ว


วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

แก้กรรมที่เร็วที่สุดในโลก

ไม่ต้องไปเดินทางหาครูบาอาจารย์ที่ไหนไกล ๆ เลยค่ะ
ไม่ต้องไปวิปัสนากรรมฐานที่ไหน
ไม่ต้องไปตามหาหมอดูเก่ง ๆ เลิศ ๆ ที่ไหนหรอกนะคะ

แค่เรากลับบ้าน ไปหาพ่อกับแม่
ไปล้างเท้าท่าน ไปดูแลท่านบ้าง
ไม่ต้องมาก ไม่ต้องมาย
แค่นี้ก็สามารถสะเดาะห์เคราะห์หนัก ๆ
ที่อาจะทำให้เราชะตาขาดได้แล้วนะคะ

แค่กลับไปล้างเท้าพ่อแม่ด้วยน้ำหอม ๆ
ขัด ๆ ถู ๆ เช็ด ๆ ให้สะอาดเอี่ยม
เหมือนที่ร้านเสริมสวยเคยทำให้เรา
และเอาเท้าของท่านมาวางไว้เหนือหัวของเรา
และพูดว่า "หากการกระทำใดของลูกที่ทำให้พ่อหรือ แม่เสียใจ
ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรมก็ดี
ทั้งที่ลูกจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามที
ขอพ่อกับแม่ อโหสิกรรมให้กับลูกนะคะ"

และหลังจากนั้นก็ขอให้ท่านให้ศีลให้พรเราค่ะ
หรืออาจจะเป็นการเตรียมตัวไว้ก่อนล่วงหน้าได้เช่นกันค่ะ
ประมาณว่า แม่จ๋า แม่ควรพูดแบบนี้นะ
คือถ้าลองทำครั้งแรกเชื่อได้เลยค่ะว่า
คุณพ่อคุณแม่อ่ะ ทำไม่ได้แน่นอนค่ะ

เราก็ต้องมีบทพูดให้ท่านนิดหน่อย อาทิเช่น
1. พ่อหรือแม่ อโหสิกรรมให้ลูกนะ
2. ปัญหาอะไรก็แล้วแต่ที่ลูกกำลังประสบอยู่ก็ขอให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
3. สามารถชนะปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง
4. ขอให้มีเงินไหลนอง ขอให้มีทองไหลมา
5. ขอให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป

แค่นี้เองค่ะ (แต่เราจะกล้าทำไม๊นั่นอีกเรื่องนึงนะคะ)
บางคนไม่กล้า บางคนอาย
มัวแต่ไปหาพระ หาเจ้า หาหมอดู หาร่างทรง
แต่ลืมไปรึเปล่า พระอรหันต์ในบ้านเราอ่ะ
ให้พรได้เลิศ และไล่กรรมได้เร็วที่สุดเลยค่ะ

ตรีทำประจำ และสม่ำเสมอค่ะ

การให้อภัย

แค่คำว่า "อภัย" ทำไมบางครั้งมันถึงยากเย็นขนาดนี้นะ
กว่าจะสามารถเอาชนะใจตัวเอง
และต้องมีบ้างในบางครั้งที่ยอมให้ตัวเองเป็นผู้แพ้
เพื่อที่จริง ๆ แล้ว ตัวเราเองนี่แหล่ะที่จะได้ลดทิฏฐิลง

มันช่างยากเหลือเกิน
ในเมื่อเราไม่ใช่คนผิด
ในเมื่อเราหวังดี
และในเมื่อเราต้องการให้อยู่กันอย่างสงบ

แต่ทำไมยิ่งทำ เหมือนยิ่งยาก
กลายเป็นเราชอบเสือกเรื่องชาวบ้านซะงั้น
ทำไมหลาย ๆ คนไม่ยอมเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปใช้

"แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร"
แต่ก็นะ ขนาดตัวเราเองว่าเจอบททดสอบบ่อย ๆ
เจอเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองเยอะมาก ๆ
บางครั้งต้องยอมรับเลยค่ะว่า "ผ่านไปไม่ได้เหมือนกัน"

บ่อยครั้งที่ต้องยอมให้ "โลภะ โทสะ โมหะ และตัณหา"
เข้าครอบงำอารมณ์ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วนะคะ
ว่ากำลังจะมีอารมณ์ประเภทนี้เกิดขึ้น
ตัวเราเองยังปล่อยให้เกิดเลยอ่ะ

สำหรับบางคนคงยากกว่านี้อีกเยอะเลยนะคะ
แต่อยากให้จำไว้อย่างนึงนะคะ
แต่ละบททดสอบที่เราก้าวผ่าน
1 ครั้งนั้นคือการชนะเจ้ากรรมนายเวร 1 ครั้งเช่นเดียวกัน

ไม่จำเป็นต้องไปเอาชนะใครที่ไหนหรอกนะคะ
เอาชนะใจตัวเองให้ได้แค่นั้นเป็นพอ

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปล่อยปลากันเถ่อะ

สำหรับสาวกความดีทั้งหลาย
ใครที่คิดว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับปัญหา
หรือเรื่องราวติดขัดมากมายในชีวิต
และคิดว่าไม่มีทางออกแน่นอน

ตรีแนะนำให้ไปซื้อ "ปลา" มาปล่อยนะคะ
เอาปลาในตลาดนะคะ
ที่มันกำลังจะถูกฆ่า หรือซื้อไปทำกับข้าว
และต้องพิจารณาถึงสถานที่ ๆ จะปล่อยปลาด้วยนะคะ
ว่าปล่อยแล้วมันจะไม่ตาย (ไม่งั้นกรรมซ้ำซ้อนนะคะ)

และทีนี้ก็หาคาถาปล่อยสัตว์ (น้ำ)
เสิร์ชง่าย ๆ ในเน็ตค่ะ
หาได้แล้วก็ปริ้นท์ออกมาเก็บไว้กับตัวบ้างนะคะ

พอเครียด คิดอะไรไม่บอก
เหนื่อยใจ  หาทางออกไม่ได้
ไปปล่อยปลาเถ่อะค่ะ

เพราะเป็นการทำความดีที่ยิ่งใหญ่นะคะ
เป็นการช่วยเหลือชีวิตที่ถึงวาระแห่งความตายกันจริง ๆ ค่ะ
อย่าคิดว่าการปล่อยปลาเป็นเพียงความเชื่อเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ
เพราะเราเห็นได้จริง ๆ ค่ะ
ว่าเรากำลังช่วยเหลือมัน 
จากการที่มันกำลังจะถูกเอาไปฆ่า

นี่ก็ได้บุญมหาศาลแล้วนะคะ
และขอความกรุณานะคะ
เวลาทำบุญอย่าคิดเยอะ
ทำแล้วปล่อยไปเลยนะคะ
ไม่ใช่มานั่งคิดว่า "ฉันทำเท่านี้ จะได้บุญเท่านั้น"
หรือทำคราวนี้ จะได้บุญไม๊
และอีกมากมายที่สมองมนุษย์สามารถคิดได้

ทำบุญแล้ว อิ่มใจแค่นั้นพอค่ะ
ไม่ต้องคิดให้เยอะ 
ไม่ต้องระเบียบจัดนะคะ
แค่นี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ

นโยบายความสุข

ตรีเคยเรียกร้องนะคะ
เคยอยากเป็นคนดัง
เคยอยากเป็นคนที่สังคมรู้จัก
เคยอยากเป็นคนที่มีคนนับหน้าถือตา


พอมาถึงวันนี้นะ
ตรีขออยู่อย่างสงบ และสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ตามกำลัง
ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือจนแบบจะเป็นจะตาย
เอาแค่กำลังของเราไหว ช่วยได้แค่ไหนคือแค่นั้น
และที่สำคัญ  ตรีไม่ต้องไปเฮไหนเฮนั่นกับชาวบ้านเค้าหรอกค่ะ


ขอแค่ให้ตรีมีความสุขบ้าง
ความสุขเล็ก ๆ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณคนรอบตัวเรานะคะ
แต่มันขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเราเองต่างหาก
ว่า "ความสุขของเราคืออะไร"


เมื่อคืนสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตรีได้รู้
คือ ตรีมีความสุขจากการสวดมนต์ค่ะ
เป็นการสวดมนต์ที่ไม่ได้บังคับร่างกาย
ไม่ได้ฝืน ไม่ได้อะไรทั้งนั้น แค่มองตามคำพูดของตัวเอง
และนั่งสบาย ๆ มันทำให้ตรีมีความสุขมาก ๆ เลยค่ะ


แล้วคุณล่ะ รู้หรือยังว่าความสุขของคุณเป็นยังไง
และคืออะไร


บางครั้งความสุขก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนออกไปหาไกลบ้านนะคะ
ความสุขมันอยู่ตรงนี้แหล่ะค่ะ
มันอยู่ภายในจิตใจของเรานี่เอง
ไม่ใช่ว่า "มีเงินตรา" แล้วจะมีความสุขทุกคนนะคะ
เงินสามารถซื้อความสุขทางกายได้ค่ะ
แต่ความสุขจริง ๆ ความสุขทางใจ
เงินไม่มีวันซื้อได้นะคะ


ลองมองหาความสุข
ลองมองหาความสงบ
รอบ ๆ ตัวของคุณดูสิ
ไม่ต้องมองไปไกล
ไม่ต้องมองไปนอกร่างกาย
มันอยู่ตรงนี้แหล่ะค่ะ
มันอยู่ที่ใจของเรานี่แหล่ะ



การสวดมนต์

หลังจากทีละทิ้งการสวดมนต์มาได้ประมาณ 2 เดือน
ก็มีอีกหนึ่งแรงบันดาลใจเกิดขึ้น ให้กลับไปนั่งในห้องพระ
ให้กลับไปนั่งสวดมนต์ 


การสวดมนต์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ
ถ้าสักแต่ว่าสวด ๆ ท่อง ๆ ไป ใคร ๆ ก็คงจะทำได้
แต่พยายามจะสวดให้มันมีสติ และสมาธินี่สิ
ทำไมมันถึงยากเย็นนักหนา


พอเริ่มต้นสวดบทแรก ๆ ไม่ค่อยมีให้เห็นหรอกนะ
มีสติดี มีปัญญาครบ มีจิตใจมุ่งมั่น
พอผ่านไปประมาณ 3-4 บทเท่านั้นแหล่ะ
งานเริ่มเข้าแล้วอ่ะ เดี๋ยวลืมนั่น เดี๋ยวต้องทำนี่


นี่ขนาดรู้ตัวนะเนี่ยว่าจะต้องมี "สติ" มี "สมาธิ" ยังหลุด
ยังทำให้รู้สึกว่า การสวดมนต์แต่ละครั้งเรายังทำได้ไม่ได้เลย
ก็พยายามอยู่นะ พอจิตมันหลุดไปคิดนั่น คิดนี่ก็รีบดึงกลับมา
พอมารู้ตัวอีกสวดเสร็จแล้วอ่ะ


ตรีเป็นคนที่สวดมนต์มาเป็นระยะเวลานานแล้วค่ะ
ถึงแม้จะไม่สม่ำเสมอขนาดที่เรียกได้ว่า
สวดกันทุกวัน สวดกันเป็นประจำ
แต่ก็ถือว่าระยะเวลาในการสวดมนต์ค่อนข้างเยอะ
เหมือนชั่วโมงบินค่อนข้างสูง


พอชั่วโมงบินสูงแล้วเป็นไงล่ะ
ชั่วโมงมารก็สูงตามด้วยเหมือนกันค่ะ
ไม่ยอมปล่อยให้เราไปเจอความสงบบ้างเลย


จริง ๆ แล้วการสวดมนต์มันทำให้จิตสงบนะคะ
ช่วยให้ลำดับความยุ่งยาก ความฟุ้งซ่านในสมองลดลง
แถมยังช่วยให้เราสามารถเรียงลำดับความสำคัญต่าง ๆ ได้อีกด้วย
(ต้องใส่วงเล็บไว้ก่อนนะคะว่า ควรเรียงลำดับความสำคัญหลังจากสวดเสร็จนะ)
ไม่ใช่สวดไปคิดไป อย่างนี้รังแต่จะทำให้ฟุ้งซ่าน มีปัญหาหนักกว่าเดิมอีกค่ะ


พยายามสวดไป หรือนั่งอ่านไปก็ได้นะคะ
แต่อ่านแล้วต้องรู้ด้วยนะคะ ว่าเราอ่านคำว่าอะไร
และอ่านถึงตรงไหน ถ้าจะให้ดีสำหรับผู้เริ่มต้น
ตรีแนะนำให้อ่านคำแปลด้วยจะดีมาก ๆ เลยค่ะ


"มีสติรู้อยู่กับตัว  มีปัญญารู้ทันความคิดนะคะ"

ผลข้างเคียงของความเพียร

แปลกนะ ที่คนในปัจจุบันไม่ค่อยจะยอมเป็นฝ่ายแพ้ หรือยอมเป็นฝ่ายให้อภัย
ทำไมเราต่างคิดกันเหลือเกินว่า
ทำยังไงเราถึงจะเป็นผู้ชนะ และยอมแพ้ไม่ได้
แม้กระทั่งกับโชคชะตาก็จะแพ้ไม่ได้

ดิ้นรนอยู่บนความทรมานของทิฏฐิมานะแห่งความพากเพียร
เพียรที่จะเป็นหนึ่งในสายงานของตนเอง
เพียรที่จะสร้างชื่อเสียง เกียรติยศ
เพียรที่จะสร้างความมั่นคงในฐานะความเป็นอยู่

สำหรับตรีเอง  มองว่าความเพียรเหล่านี้ดีในระดับหนึ่ง
ดีตรงที่ทำให้เราเกิดความุมานะ ความตั้งใจที่ฝ่าฟันปัญหาต่าง ๆ ไปให้ได้
แต่พอมันมีความเพียรมากไป มันก็เลยกลายเป็น "ทิฏฐิมานะ"
ซึ่งกลายเป็น "อัตตา" ประจำตัวของคน ๆ นั้นไป

ยิ่งเพียรมาก ยิ่งทำให้ใจของคนเราแคบลง
เพราะกว่าจะได้ กว่าจะสำเร็จอะไรแต่ละอย่าง
มันไม่ได้มาง่าย ๆ สักหน่อย
ต้องเจอปัญหานานัปประการกันเลยทีเดียว
แถมบางคนยังไม่มีตัวช่วย ไม่มีใครอุปถัมภ์ค้ำชู
กว่าจะมาสำเร็จได้ ก็ด้วยลำแข้ง ด้วยสองมือของตนเองทั้งสิ้น

ทำไมเราไม่พยายามให้ "มีความเพียรแต่พอดี"
ทำให้ใจเราไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายมากมาย
บางคนดิ้นรนกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอนาคตที่ดี
แต่ในขณะปัจจุบันนี้ ยังไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้นมาได้เลย
จะไปดิ้นรนหาอะไรกันเหรอ

ขนาดวันนี้ยังทำให้ดีที่สุดไม่ได้เลย
แล้วมัวแต่โทษฟ้าฝนลมเทวดา
บางคนก็ไปโทษความซวยส่วนตัว
แต่ลืมโทษความคิดของตัวเราเองนี่แหล่ะ

เพียรแต่พอดี  มันมีประโยชน์
แต่พอเพียรมากไป  มันก็โทษเหมือนกันนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แก้กรรมความรัก

มีใครบ้างไม๊ "ที่คิดว่าไม่ต้องการความรัก"


ตรีคิดว่า "คงไม่มีหรอกค่ะ ถึงแม้จะเจ็บมามากมายขนาดไหนก็แล้วแต่"
ใคร ๆ ก็ต้องการความรักด้วยกันทั้งนั้นค่ะ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ หรือธรรมชาติ
สรรพสิ่งในโลกล้วนต้องการความรักค่ะ


เพียงแต่ใครบ้างจะเจอความรักในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ
จะมีใครสักกี่คนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของความรัก
เหล่านี้คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้เรารอดพ้นจากเวรกรรมทางด้านความรักได้ค่ะ


1.หมั่นอธิษฐานขอพร "ขอให้ตัวเรามีแสงสว่างในการดำรงชีวิต"


2.หมั่นทำบุญถวายค่าน้ำค่าไฟ หรือบริจาคน้ำมันตะเกียง หรือบริจาคหลอดไฟ
(ที่เกี่ยวข้องกับแสงสว่างทั้งหลายทั้งปวง)


แค่นี้ถ้าเราหมั่นทำด้วยความตั้งมั่นและความเพียร ตรีมั่นใจค่ะ
ภายในระยะเวลา 21 วันหลังจากที่ทำครั้งแรก
คุณจะพบเจอกับแสงสว่างในรูปแบบที่คุณคาดไม่ถึงกันเลยค่ะ
เพราะนี่คือเคล็ดจริง ๆ ที่ทำแล้วได้ผลจริงค่ะ


จากประสบการณ์โดยตรงของตรี และที่ได้แนะนำผู้คนไปก็เยอะ
ล้วนทำแล้วได้ผลกันทั้งนั้นค่ะ ที่ต้องให้ทำบุญเกี่ยวกับแสงสว่างไว้ก่อน
เพราะความรักมักทำให้คนตาบอดค่ะ และคนตาบอดมีแสงสว่างไม๊
คำตอบก็คือ ไม่มี ที่เราขอให้มีแสงสว่างไว้ก็เพื่อเหตุนี้แหล่ะค่ะ


ไม่ว่าจะเป็นคู่เวร คู่กรรม คู่สร้าง คู่สม หรือคู่ทุกข์ คู่ยาก คู่ล้าง คู่ผลาญ
ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยการขออธิษฐานบารมีแค่นี้จริง ๆ ค่ะ

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บุพการี พระอรหันต์ในบ้าน

วันนี้คุณได้ตอบแทนบุญคุณของบุพการีแล้วหรือยังยังจำได้ไม๊ว่า 
"ใครที่สามารถเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อคุณ"
"ใครที่เสียใจมากมายเวลาที่คุณร้องไห้"
"ใครที่ยอมอดเพื่อให้คุณอิ่ม"
"ใครที่ยอมอดหลับอดนอน เพื่อรอให้คุณกลับบ้าน"
"ใครที่ยอมเดือดร้อนขอแค่ให้คุณได้อยู่สบาย"


บุคคลที่กล่าวข้างต้น เป็นคนที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด
แต่เรากลับไม่เคยเห็นคุณค่าของเค้ามากที่สุด
ในวันเกิด เรากลับไปสังสรรค์เฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อน กับแฟน
แล้วปล่อยบุคคลเหล่านี้ให้อยู่เฝ้าบ้าน รอเวลาที่เราจะกลับ


คุณรู้บ้างไม๊ว่า ใครก็ตามที่ได้ดูแลบุพการี
คนเหล่านั้นจะไม่พบกับความล้มเหลว ความอดอยาก
หรือแม้แต่ความสิ้นหวัง
เพราะตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว
บุพการี คือ พระอระหันต์ของลูกทุก ๆ คน
เรามัวแต่ไปทำบุญที่วัด เอาข้าวปลาอาหารสังฆทาน
ขนกันเอาไปวัด แล้วถามหน่อยสิคะ
ก่อนจะเอาไปวัดอ่ะ เคยหันมาถามพ่อกับแม่ของเราบ้างไม๊
ว่าท่านอยากกินอะไรรึเปล่า หรืออยากทำอะไรบ้างไม๊
อยากออกไปไหนรึเปล่า


ทำไมตอนเด็ก ๆ เราอยากออกไปไหน
พ่อกับแม่ เต็มใจและยินดีจะพาเราไปให้ได้ทุกที่
แต่เรากลับไม่มีปัญญาพาพ่อกับแม่ไปเที่ยว ไปวัดได้บ้างเลย
หรือเอาแค่ง่าย ๆ แค่พาพ่อกับแม่ไปวัดอ่ะ 
สมัยนี้ยังมีลูกคนไหนพาพ่อกับแม่ไปได้บ้างไม๊อ่ะ


เพื่อน แฟน พอหลุดไปก็เป็นคนอื่นนะคะ
แต่บุพการีผูกพันกันโดยสายเลือด
ไม่มีวันหลุดจากวันอยู่แล้ว และคุณได้ตอบแทนบุญคุณของบุพการีแล้วหรือยัง
หรือจะรอแค่วันแม่แล้วค่อยตอบแทน
ระวังวันที่คุณรอ วันนั้นอาจจะไม่มีวันมาถึงก็ได้นะคะ

วิธีทำความดี

การทำความดีไม่จำเป็นต้องใช้เงินเพียงอย่างเดียวหรอกค่ะ
มีหลายวิธีมากมายที่เราสามารถทำความดีได้
แม้ไม่ได้ใช้เงินสักบาท แต่ได้คุณค่าแห่งความดีมากมายยิ่งนัก
ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์, การไหว้พระ, การดูแลบุพการี, หรือการดูแลบุตรบริวาร
การเปลี่ยนน้ำหน้าพระพุทธ, หรือแม้แต่การจูงคนแก่ข้ามถนน
หรือการเสียสละที่นั่งให้แก่คนชราหรือเด็ก 
สิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ล้วนแต่เป็นการทำความดีด้วยกันทั้งนั้น
แต่การทำแบบนี้เป็นการที่เราเอาตัวของเราเข้าไปสร้างความดีค่ะ
ซึ่งบางครั้งอาจจะได้บุญมากกว่าการใช้เงินทำอีกด้วยนะคะ
เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดเป็นความดีขึ้นมาจากจิตใจก่อนเลยค่ะ
เพราะอยากให้ผู้อื่นได้ดี โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
นี่แหล่ะคือสูงสุดแห่งการทำความดีแล้วค่ะ
เห็นไม๊ว่าไม่ต้องมากมาย แค่เพียงเรามีน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ 
ก็สามารถช่วยเหลือให้ผู้อื่นมีความสุขได้
โดยที่ตัวเราเองก็ไม่ได้เกิดความทุกข์อะไรเลยค่ะ

ความดีไม่มีขาย

"ความดี ไม่มีขาย  อยากได้ ต้องทำเอา"
ประโยคนี้ใช้ได้ดี และใช้ได้จริง ๆ นะคะ
คนไทยในปัจจุบัน มุ่งเน้นแต่การมองหาเงินตรา
ซึ่งเป็นเพียงส่วนประกอบในการดำรงชีวิตเท่านั้น
แต่จริง ๆ แล้วเราทุกคนเกิดมาเพื่ออะไร
เพื่อที่จะหาเงิน, เพื่อที่จะทำงาน, เพื่อที่จะเก็บเงิน,
และที่เราดิ้นรนหาเงินมาด้วยความอยากลำบาก
เราเอาเงินเหล่านั้นมาทำอะไร 
เราก็เอาเงินเหล่านั้นมาซื้อหา มาบำบัดความต้องการของเรา
มาบำบัดความอยากของเรา ซึ่งบางครั้งต้องบอกกันไว้ก่อนเลยนะคะ
ว่า "ความอยากของมนุษย์ ไม่เคยมีคำว่าพอ"
เมื่อเราเติมในจุดนี้เต็ม  มันก็จะมีจุดใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว
ไม่เหมือนน้ำในแก้วนะคะ ที่ยังมีวันเต็ม
เราดิ้นรน เรามองหาแต่สิ่งประกอบภายนอก
ตรีอยากจะรู้เหลือเกินว่า "เราทุกคนมีเวลาอยู่กับตัวเอง วันละกี่นาที"
ที่ไม่ต้องมีมือถือ, ปาล์ม, ไอแพด, โน๊ตบุ๊ค เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิต
เราทุกคนรู้หรือไม่ว่า ในขณะที่เรากำลังดิ้นรนสนองความอยากอยู่นั่นเอง
มันยิ่งทำให้กิเลสของเราพอกพูดขึ้นทุกวัน ๆ 
ทำไมเราไม่หัด ละ วาง หรือปล่อยมันออกไปบ้าง
ด้วยการทำบุญ บริจาคทาน เริ่มทำทีละเล็กทีละน้อย
ค่อย ๆ ทำเพื่อให้มันเป็นนิสัย และทำจนกลายเป็นความเคยชิน
นี่เป็นเพียงพื้นฐานแห่งการทำความดี ซึ่งในปัจจุบัน
คนไทยน้อยคนนักที่จะตื่นมาแล้วใส่บาตรพระ หรือไปวัด
"เงินซื้อความสุขไม่ได้ทุกอย่างนะคะ"
ทำไมเราไม่รีบสะสมความดีก่อนที่มันจะสายเกินไป
ในเมื่อวันนี้เรายังมีแรง ยังมีพลังเหลือเฟือที่จะสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับสังคม
บางครั้ง ความสุข อาจจะไม่ใช่การซื้อของมาปรนเปรอความต้องการของตัวเองหรอกนะคะ
ความสุขอาจจะเกิดขึ้นจากการให้โอกาสผู้อื่นที่ด้อยกว่าเรา "ก็ได้นะคะ"

เพิ่งรู้

เวรกรรมไม่ต้องไปรอกันที่ชาติหน้าแล้วค่ะ
ชาตินี้อ่ะ ก็ได้รับผลกรรมกันได้นะคะ
ตรีก็มานั่ง ๆ คิดอยู่เหมือนกันนะคะว่าทำไมถึงไม่ค่อยมีคนใกล้ชิดเห็นหัวเราสักเท่าไหร่
เพิ่งนึกได้เมื่อกี้นี้เองค่ะ ตอนจะโพสต์บทความนี่แหล่ะ
เพราะก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว
ตอนนั้นบ้านของตรียังรวยอยู่ค่ะ ย่าเล็กยังแข็งแรงอยู่มาก
และแม่ของตรีก็ยังเป็นผู้ดูแลทางด้านการเงินของบ้านนะคะ
แต่พอดีตรีก็ไม่ได้ใช้อะไรฟุ่มเฟือยหรอกนะคะ
เพียงแค่อยากได้อะไรก็ได้ แต่ด้วยความที่ตรีไม่ติดแบรนด์เหมือนคนอื่น
แต่สิ่งที่ตรีกระทำกับคนรอบข้างคือ นิสัยที่ไม่เห็นหัวคน
ไม่มีความอดทน และชอบวีน ชอบเหวี่ยงใส่แม่ตลอดเลยค่ะ
ไม่ได้อะไรนะ ตรีขึ้นเสียงตลอดเลยอ่ะ นี่ยังดีนะเนี่ยที่ลูกชายของตรี
ไม่มาขึ้นเสียงกับตรีอ่ะ  แต่ก็เถียงไม่ยอมหยุดเลยเหมือนกันค่ะ
ลูกชายที่เคารพ และในวันนี้ที่คนอื่นไม่เห็นหัวตรีก็เพราะมีเหตุผลเช่นนี้นี่เอง
ก็คงไม่แปลกใจแล้วแหล่ะว่า "ทำไม"
เพราะวันนี้ตรีรู้คำตอบของมันเรียบร้อยแล้วค่ะ
และสำหรับบททดสอบต่อไปที่กำลังจะได้เรียนรู้
ตรีว่า "ตรีคงจะพร้อมแหล่ะนะ"

บททดสอบนี้ผ่านไปแล้ว หลังจากงมโข่งอยู่ตั้งนาน
ว่ามันเกิดจากอะไร ซึ่งไม่น่าจะเป็นกรรมจากอดีตชาติ
แต่ก็นะ สุดท้ายแล้วเราก็ได้รู้ด้วยตัวของเราเอง
ขอแค่ให้เรามีสติ แล้วปัญญาจะมาเกิดเองค่ะ

ชีวิตในวัยเด็ก

ตั้งแต่ตรีจำความได้ ก่อนนอนทุกคืน
แม่ของตรีจะต้องสวดมนต์ค่ะ (แม่นอนสวดมนต์ตลอด)
แต่แม่ไม่ได้สวดให้ตัวเองนะคะ แม่สวดให้น้องชายของแม่
ให้ธุรกิจของเค้าไปได้ด้วยดี ให้เค้าเจริญรุ่งเรือง
ตรีไม่เคยเห็นแม่สวดมนต์ให้ตัวเองเลยอ่ะ

เราก็นอนเรียงกัน 4 คนค่ะ
(ทุกคนไม่ใช่ลูกของแม่นะคะ)
ญาติพี่น้องเอามาฝากให้แม่ตรีเลี้ยงทั้งนั้นค่ะ
มีพี่สาวคนโต มีตรี มีแม่ และน้องชายคนเล็ก
นอนกันบนพื้นบ้าง บนที่นอนบ้าง มีทีวีเครื่องเล็ก ๆ ไว้ให้ดู
ตรีจะเห็นแม่สวดมนต์ทุกคืน

จนกระทั้งวันหนึ่งค่ะ
ที่ตรีพอจะเริ่มอ่านหนังสือเป็น ตรีเห็นกระดาษขนาด A4 หนึ่งแผ่น
วางอยู่เสมอ ตรีไม่รู้หรอกนะว่านั่นคืออะไร และตรีก็เริ่มอ่านมัน
อ่านไปเรื่อย ๆ และเริ่มจำได้ และไม่รู้หรอกค่ะว่า
นั่นคือ "พระคาถาชินบัญชร"

ต้องบอกก่อนเลยนะคะว่า ครอบครัวของตรีไม่มีใครฉลาด
ทุกคนแค่เรียนพอไปวัดไปวาได้ ไม่ถึงกับขี้เหร่
แต่ทำไมตรีถึงมีความฉลาดเยอะกว่าคนอื่น
ก็เพราะตรีสวดพระคาถาชินบัญชร ตั้งแต่ตรี 7 ขวบค่ะ

ตรีสวดอยู่เรื่อย ๆ ไม่เคยขาดนะคะ
และไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากศาสนาได้นานหรอกค่ะ
พอถึงเวลาตรีก็กลับมาสวดอีกเหมือนเดิม
ชีวิตของตรีจะวนเวียนอยู่กับการสวดมนต์เยอะมาก ๆ เลยค่ะ
ก่อนที่จะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า
"ทุกวันนี้ที่รอดชีวิตมาได้ จากปากเหยี่ยวปากกาก็เพราะการสวดมนต์"
นี่แหล่ะค่ะที่รักษาชีวิตของตรี ให้อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้

แค่พระคาถา 1 บท ที่ตรีได้เรียนรู้มา
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
กลับเปลี่ยนชีวิตของตรีจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะคะ
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วตรีเรียนหนังสืออะไรไม่จบสักอย่าง
แถมยังมีลูกก่อนที่จะแต่งงาน และยังหนีออกจากบ้านไปอีก
และเอาลูกมาฝากให้แม่เลี้ยง อีกต่างหาก

เมื่อมองย้อนกลับไป ตรีคงได้อานิสงค์จากการสวดมนต์มาเยอะทีเดียวค่ะ
เพราะชีวิตของตรีเคยเจออะไรที่มันไม่น่ารอดมาแล้วหลายครั้ง
แต่ก็รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ และทำให้ตรีเชื่ออย่างสนิทใจเลยค่ะ
ว่าพระพุทธศาสนาสอนคนได้จริง ๆ และสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนได้จริง ๆ
และที่สำคัญที่สุดคือ "พึงเห็นได้เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติเท่านั้นค่ะ"

ใครที่ไม่ได้ปฏิบัติ พูดไปให้ปากฉีดถึงใบหู
เค้าก็คงไม่มีวันที่จะเข้าใจ และสามารถรับรู้ได้ถึงปาฏิหาริย์แห่งการสวดมนต์
ปาฏิหาริย์ในการสร้างความดี  การทำทาน  การถือศีล
ดังนั้นสำหรับใครที่ชีวิตตกต่ำ และคิดว่าจะต่ำไปอีกนาน
เริ่มต้นสวดมนต์กันดีกว่านะคะ เพราะการสวดมนต์คือการทำความดี
ที่ไม่สามารถทำได้กับทุก ๆ คนนะคะ คนบางคนที่มีบุญในส่วนนี้เท่านั้นค่ะ
ที่จะสามารถสวดมนต์ได้ และมีสติ

เกี่ยวกับชาติกำเนิด

ตรีเกิดและเติบโตมาในครอบครัวใหญ่ ที่มีชื่อเสียง มีหน้าตาในสังคมค่อนข้างดี
ในบ้านตรีอยู่รวมกัน 4 ครอบครัวค่ะ 
เป็นบ้านกลางใจเมือง ที่มีเนื้อที่เกือบ 5 ไร่ 
บรรพบุรุษของตรีเป็นคนจีนอพยพมาประเทศไทย นานมาก ๆ แล้วค่ะ
จ๊อหนีพ่อกับแม่ขึ้นเรือสำเภาจีน มาตั้งรกรากในประเทศไทย
ด้วยเสื่อ 1 ผืน หมอน 1 ใบ และหีบกำปั่น 1 หีบ
ซึ่งตอนนี้ หีบใบนี้อยู่ที่ตรีค่ะ ตรียังเก็บรักษาไว้อย่างดี
จ๊อเริ่มต้นจากการเป็นคนงานแบกข้าวสารที่ท่าเรือ
ในระหว่างนั้นจ๊อก็เริ่มจับจองที่ทางภายในจังหวัดชุมพรค่ะ
ที่ไหนที่ต้องบุกป่าฝ่าดงไปถางก็จะไปค่ะ จ๊อเป็นคนที่เก่งคนหนึ่งจริง ๆ ค่ะ
เพราะหลังจากนั้นไม่นาน จ๊อก็สามารถมีโรงยาฝิ่นเป็นของตัวเอง
และต้องเลิกในที่สุด เพราะรัฐบาลออกกฎหมาย "ห้ามสูบฝิ่น"
จ๊อมีลูกทั้งหมด 5 คนค่ะ เป็นผู้ชาย 3 ผู้หญิง 2 คนค่ะ
แต่ตอนที่ตรีเกิดมา ตรีเห็นแค่ย่า 2 คนเท่านั้นค่ะ
ซึ่งตรีจะเรียกท่านว่า "ย่าใหญ่" และ "ย่าเล็ก"
ต่อมาในครอบครัวของตรีก็ได้ประกอบธุรกิจหลายอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็น "ท่าทราย, ขายอะไหล่เซียงกง, โรงสีข้าว"
แต่ทุกอย่างก็ไม่ประสบความสำเร็จค่ะ จนมาทำเอเย่นต์เบียร์สิงห์
และสุดท้ายก็ล้มละลายในที่สุดค่ะ เพราะอะไรตรีไม่รู้
แต่ที่ตรีสัมผัสได้ จากตัวตรีเอง จากคนที่เคยรวยล้นฟ้า
จนในวันนี้ แม้แต่บ้านก็ไม่มีเป็นของตัวเอง และทุกคนในครอบครัว
ก็ต้องแตกแยก ระหกระเหินกันไปคนละทาง
ความสามัคคี ความปรองดองที่เคยมี ก็มีอันต้องหมดลง
เมื่อก่อน ย่าเล็ก จะชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ คอยสนับสนุน
เหมือนงานของย่าเล็ก คือการสร้างคน ให้โอกาสเค้า
แต่ย่าเล็กจะไม่ค่อยเชื่อในเรื่องของการทำบุญ และสวดมนต์
ซึ่งต่างกับย่าใหญ่ที่เชื่อมั่นและศรัทธาอย่างจริงจังที่จะทำบุญ
ไม่นานหลังจากย่ามุ่งมั่นที่จะกอบกู้ฐานะทางการเงินของบ้านไว้
และย่าก็แก่มาก ๆ แล้วค่ะ วันที่ย่าของตรีล้ม คือวันที่บ้านหลังนั้น ล้มเช่นกัน
คนที่ย่าเคยช่วยเหลือ ไม่มีใครหวนกลับมาหาย่าเลยสักคน
ย่า 2 คนของตรี เสียชีวิตห่างกันไม่ถึง 2 อาทิตย์เลยค่ะ


อารัมภบท

อยากมีสถานที่ ที่เราสามารถระบายอะไรลงไปก็ได้
ไม่ใช่เพียงแค่แสดงความรู้สึก แต่มันคือประสบการณ์จากทั้งชีวิต 
ที่ตรีได้เรียนรู้ และผ่านมันมาด้วยตัวเองทั้งนั้น
และนี่จะเป็นบล็อกสุดท้าย หลังจากตรีตั้งมาเยอะมากเลยค่ะ
ตั้งมาหลายบล็อกแล้ว แต่ไม่เคยมีอันไหนมีจิตใจตั้งมั่น
ที่จะทำเหมือนบล็อกนี้เลยค่ะ จะพยายามถ่ายทอดทุกอย่างที่ได้เรียนรู้มา
เพื่อให้หลาย ๆ คนได้อ่าน และสามารถนำไปปรับปรุงและใช้ในชีวิตของพวกเค้าได้
หลายคนคงงงนะคะ ว่าแล้วตรีเป็นใคร ทำไมประสบการณ์ชีวิตของตรีถึงจะมีค่าต่อหลายคน
เพราะตรีเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งค่ะ ที่เคยล้มเหลว ที่เคยเหลวแหลก
และอยากให้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตของคนหนึ่งคน
ได้กลายเป็นอุทาหรณ์ให้กับอีกหลาย ๆ คนให้เค้าได้เรียนรู้
และจะได้ไม่ต้องทำตามนะคะ ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะดีหรือไม่ดี
ตรีก็แค่อยากให้ทุกคนได้อ่าน เรียนรู้มัน ซึมซับมันไว้
ด้วยใจ อย่าเพียงแค่อ่านให้มันผ่านเลยไปนะคะ