วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปล่อยปลากันเถ่อะ

สำหรับสาวกความดีทั้งหลาย
ใครที่คิดว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับปัญหา
หรือเรื่องราวติดขัดมากมายในชีวิต
และคิดว่าไม่มีทางออกแน่นอน

ตรีแนะนำให้ไปซื้อ "ปลา" มาปล่อยนะคะ
เอาปลาในตลาดนะคะ
ที่มันกำลังจะถูกฆ่า หรือซื้อไปทำกับข้าว
และต้องพิจารณาถึงสถานที่ ๆ จะปล่อยปลาด้วยนะคะ
ว่าปล่อยแล้วมันจะไม่ตาย (ไม่งั้นกรรมซ้ำซ้อนนะคะ)

และทีนี้ก็หาคาถาปล่อยสัตว์ (น้ำ)
เสิร์ชง่าย ๆ ในเน็ตค่ะ
หาได้แล้วก็ปริ้นท์ออกมาเก็บไว้กับตัวบ้างนะคะ

พอเครียด คิดอะไรไม่บอก
เหนื่อยใจ  หาทางออกไม่ได้
ไปปล่อยปลาเถ่อะค่ะ

เพราะเป็นการทำความดีที่ยิ่งใหญ่นะคะ
เป็นการช่วยเหลือชีวิตที่ถึงวาระแห่งความตายกันจริง ๆ ค่ะ
อย่าคิดว่าการปล่อยปลาเป็นเพียงความเชื่อเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ
เพราะเราเห็นได้จริง ๆ ค่ะ
ว่าเรากำลังช่วยเหลือมัน 
จากการที่มันกำลังจะถูกเอาไปฆ่า

นี่ก็ได้บุญมหาศาลแล้วนะคะ
และขอความกรุณานะคะ
เวลาทำบุญอย่าคิดเยอะ
ทำแล้วปล่อยไปเลยนะคะ
ไม่ใช่มานั่งคิดว่า "ฉันทำเท่านี้ จะได้บุญเท่านั้น"
หรือทำคราวนี้ จะได้บุญไม๊
และอีกมากมายที่สมองมนุษย์สามารถคิดได้

ทำบุญแล้ว อิ่มใจแค่นั้นพอค่ะ
ไม่ต้องคิดให้เยอะ 
ไม่ต้องระเบียบจัดนะคะ
แค่นี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ

นโยบายความสุข

ตรีเคยเรียกร้องนะคะ
เคยอยากเป็นคนดัง
เคยอยากเป็นคนที่สังคมรู้จัก
เคยอยากเป็นคนที่มีคนนับหน้าถือตา


พอมาถึงวันนี้นะ
ตรีขออยู่อย่างสงบ และสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ตามกำลัง
ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือจนแบบจะเป็นจะตาย
เอาแค่กำลังของเราไหว ช่วยได้แค่ไหนคือแค่นั้น
และที่สำคัญ  ตรีไม่ต้องไปเฮไหนเฮนั่นกับชาวบ้านเค้าหรอกค่ะ


ขอแค่ให้ตรีมีความสุขบ้าง
ความสุขเล็ก ๆ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณคนรอบตัวเรานะคะ
แต่มันขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเราเองต่างหาก
ว่า "ความสุขของเราคืออะไร"


เมื่อคืนสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตรีได้รู้
คือ ตรีมีความสุขจากการสวดมนต์ค่ะ
เป็นการสวดมนต์ที่ไม่ได้บังคับร่างกาย
ไม่ได้ฝืน ไม่ได้อะไรทั้งนั้น แค่มองตามคำพูดของตัวเอง
และนั่งสบาย ๆ มันทำให้ตรีมีความสุขมาก ๆ เลยค่ะ


แล้วคุณล่ะ รู้หรือยังว่าความสุขของคุณเป็นยังไง
และคืออะไร


บางครั้งความสุขก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนออกไปหาไกลบ้านนะคะ
ความสุขมันอยู่ตรงนี้แหล่ะค่ะ
มันอยู่ภายในจิตใจของเรานี่เอง
ไม่ใช่ว่า "มีเงินตรา" แล้วจะมีความสุขทุกคนนะคะ
เงินสามารถซื้อความสุขทางกายได้ค่ะ
แต่ความสุขจริง ๆ ความสุขทางใจ
เงินไม่มีวันซื้อได้นะคะ


ลองมองหาความสุข
ลองมองหาความสงบ
รอบ ๆ ตัวของคุณดูสิ
ไม่ต้องมองไปไกล
ไม่ต้องมองไปนอกร่างกาย
มันอยู่ตรงนี้แหล่ะค่ะ
มันอยู่ที่ใจของเรานี่แหล่ะ



การสวดมนต์

หลังจากทีละทิ้งการสวดมนต์มาได้ประมาณ 2 เดือน
ก็มีอีกหนึ่งแรงบันดาลใจเกิดขึ้น ให้กลับไปนั่งในห้องพระ
ให้กลับไปนั่งสวดมนต์ 


การสวดมนต์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ
ถ้าสักแต่ว่าสวด ๆ ท่อง ๆ ไป ใคร ๆ ก็คงจะทำได้
แต่พยายามจะสวดให้มันมีสติ และสมาธินี่สิ
ทำไมมันถึงยากเย็นนักหนา


พอเริ่มต้นสวดบทแรก ๆ ไม่ค่อยมีให้เห็นหรอกนะ
มีสติดี มีปัญญาครบ มีจิตใจมุ่งมั่น
พอผ่านไปประมาณ 3-4 บทเท่านั้นแหล่ะ
งานเริ่มเข้าแล้วอ่ะ เดี๋ยวลืมนั่น เดี๋ยวต้องทำนี่


นี่ขนาดรู้ตัวนะเนี่ยว่าจะต้องมี "สติ" มี "สมาธิ" ยังหลุด
ยังทำให้รู้สึกว่า การสวดมนต์แต่ละครั้งเรายังทำได้ไม่ได้เลย
ก็พยายามอยู่นะ พอจิตมันหลุดไปคิดนั่น คิดนี่ก็รีบดึงกลับมา
พอมารู้ตัวอีกสวดเสร็จแล้วอ่ะ


ตรีเป็นคนที่สวดมนต์มาเป็นระยะเวลานานแล้วค่ะ
ถึงแม้จะไม่สม่ำเสมอขนาดที่เรียกได้ว่า
สวดกันทุกวัน สวดกันเป็นประจำ
แต่ก็ถือว่าระยะเวลาในการสวดมนต์ค่อนข้างเยอะ
เหมือนชั่วโมงบินค่อนข้างสูง


พอชั่วโมงบินสูงแล้วเป็นไงล่ะ
ชั่วโมงมารก็สูงตามด้วยเหมือนกันค่ะ
ไม่ยอมปล่อยให้เราไปเจอความสงบบ้างเลย


จริง ๆ แล้วการสวดมนต์มันทำให้จิตสงบนะคะ
ช่วยให้ลำดับความยุ่งยาก ความฟุ้งซ่านในสมองลดลง
แถมยังช่วยให้เราสามารถเรียงลำดับความสำคัญต่าง ๆ ได้อีกด้วย
(ต้องใส่วงเล็บไว้ก่อนนะคะว่า ควรเรียงลำดับความสำคัญหลังจากสวดเสร็จนะ)
ไม่ใช่สวดไปคิดไป อย่างนี้รังแต่จะทำให้ฟุ้งซ่าน มีปัญหาหนักกว่าเดิมอีกค่ะ


พยายามสวดไป หรือนั่งอ่านไปก็ได้นะคะ
แต่อ่านแล้วต้องรู้ด้วยนะคะ ว่าเราอ่านคำว่าอะไร
และอ่านถึงตรงไหน ถ้าจะให้ดีสำหรับผู้เริ่มต้น
ตรีแนะนำให้อ่านคำแปลด้วยจะดีมาก ๆ เลยค่ะ


"มีสติรู้อยู่กับตัว  มีปัญญารู้ทันความคิดนะคะ"

ผลข้างเคียงของความเพียร

แปลกนะ ที่คนในปัจจุบันไม่ค่อยจะยอมเป็นฝ่ายแพ้ หรือยอมเป็นฝ่ายให้อภัย
ทำไมเราต่างคิดกันเหลือเกินว่า
ทำยังไงเราถึงจะเป็นผู้ชนะ และยอมแพ้ไม่ได้
แม้กระทั่งกับโชคชะตาก็จะแพ้ไม่ได้

ดิ้นรนอยู่บนความทรมานของทิฏฐิมานะแห่งความพากเพียร
เพียรที่จะเป็นหนึ่งในสายงานของตนเอง
เพียรที่จะสร้างชื่อเสียง เกียรติยศ
เพียรที่จะสร้างความมั่นคงในฐานะความเป็นอยู่

สำหรับตรีเอง  มองว่าความเพียรเหล่านี้ดีในระดับหนึ่ง
ดีตรงที่ทำให้เราเกิดความุมานะ ความตั้งใจที่ฝ่าฟันปัญหาต่าง ๆ ไปให้ได้
แต่พอมันมีความเพียรมากไป มันก็เลยกลายเป็น "ทิฏฐิมานะ"
ซึ่งกลายเป็น "อัตตา" ประจำตัวของคน ๆ นั้นไป

ยิ่งเพียรมาก ยิ่งทำให้ใจของคนเราแคบลง
เพราะกว่าจะได้ กว่าจะสำเร็จอะไรแต่ละอย่าง
มันไม่ได้มาง่าย ๆ สักหน่อย
ต้องเจอปัญหานานัปประการกันเลยทีเดียว
แถมบางคนยังไม่มีตัวช่วย ไม่มีใครอุปถัมภ์ค้ำชู
กว่าจะมาสำเร็จได้ ก็ด้วยลำแข้ง ด้วยสองมือของตนเองทั้งสิ้น

ทำไมเราไม่พยายามให้ "มีความเพียรแต่พอดี"
ทำให้ใจเราไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายมากมาย
บางคนดิ้นรนกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอนาคตที่ดี
แต่ในขณะปัจจุบันนี้ ยังไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้นมาได้เลย
จะไปดิ้นรนหาอะไรกันเหรอ

ขนาดวันนี้ยังทำให้ดีที่สุดไม่ได้เลย
แล้วมัวแต่โทษฟ้าฝนลมเทวดา
บางคนก็ไปโทษความซวยส่วนตัว
แต่ลืมโทษความคิดของตัวเราเองนี่แหล่ะ

เพียรแต่พอดี  มันมีประโยชน์
แต่พอเพียรมากไป  มันก็โทษเหมือนกันนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แก้กรรมความรัก

มีใครบ้างไม๊ "ที่คิดว่าไม่ต้องการความรัก"


ตรีคิดว่า "คงไม่มีหรอกค่ะ ถึงแม้จะเจ็บมามากมายขนาดไหนก็แล้วแต่"
ใคร ๆ ก็ต้องการความรักด้วยกันทั้งนั้นค่ะ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ หรือธรรมชาติ
สรรพสิ่งในโลกล้วนต้องการความรักค่ะ


เพียงแต่ใครบ้างจะเจอความรักในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ
จะมีใครสักกี่คนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของความรัก
เหล่านี้คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้เรารอดพ้นจากเวรกรรมทางด้านความรักได้ค่ะ


1.หมั่นอธิษฐานขอพร "ขอให้ตัวเรามีแสงสว่างในการดำรงชีวิต"


2.หมั่นทำบุญถวายค่าน้ำค่าไฟ หรือบริจาคน้ำมันตะเกียง หรือบริจาคหลอดไฟ
(ที่เกี่ยวข้องกับแสงสว่างทั้งหลายทั้งปวง)


แค่นี้ถ้าเราหมั่นทำด้วยความตั้งมั่นและความเพียร ตรีมั่นใจค่ะ
ภายในระยะเวลา 21 วันหลังจากที่ทำครั้งแรก
คุณจะพบเจอกับแสงสว่างในรูปแบบที่คุณคาดไม่ถึงกันเลยค่ะ
เพราะนี่คือเคล็ดจริง ๆ ที่ทำแล้วได้ผลจริงค่ะ


จากประสบการณ์โดยตรงของตรี และที่ได้แนะนำผู้คนไปก็เยอะ
ล้วนทำแล้วได้ผลกันทั้งนั้นค่ะ ที่ต้องให้ทำบุญเกี่ยวกับแสงสว่างไว้ก่อน
เพราะความรักมักทำให้คนตาบอดค่ะ และคนตาบอดมีแสงสว่างไม๊
คำตอบก็คือ ไม่มี ที่เราขอให้มีแสงสว่างไว้ก็เพื่อเหตุนี้แหล่ะค่ะ


ไม่ว่าจะเป็นคู่เวร คู่กรรม คู่สร้าง คู่สม หรือคู่ทุกข์ คู่ยาก คู่ล้าง คู่ผลาญ
ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยการขออธิษฐานบารมีแค่นี้จริง ๆ ค่ะ

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บุพการี พระอรหันต์ในบ้าน

วันนี้คุณได้ตอบแทนบุญคุณของบุพการีแล้วหรือยังยังจำได้ไม๊ว่า 
"ใครที่สามารถเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อคุณ"
"ใครที่เสียใจมากมายเวลาที่คุณร้องไห้"
"ใครที่ยอมอดเพื่อให้คุณอิ่ม"
"ใครที่ยอมอดหลับอดนอน เพื่อรอให้คุณกลับบ้าน"
"ใครที่ยอมเดือดร้อนขอแค่ให้คุณได้อยู่สบาย"


บุคคลที่กล่าวข้างต้น เป็นคนที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด
แต่เรากลับไม่เคยเห็นคุณค่าของเค้ามากที่สุด
ในวันเกิด เรากลับไปสังสรรค์เฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อน กับแฟน
แล้วปล่อยบุคคลเหล่านี้ให้อยู่เฝ้าบ้าน รอเวลาที่เราจะกลับ


คุณรู้บ้างไม๊ว่า ใครก็ตามที่ได้ดูแลบุพการี
คนเหล่านั้นจะไม่พบกับความล้มเหลว ความอดอยาก
หรือแม้แต่ความสิ้นหวัง
เพราะตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว
บุพการี คือ พระอระหันต์ของลูกทุก ๆ คน
เรามัวแต่ไปทำบุญที่วัด เอาข้าวปลาอาหารสังฆทาน
ขนกันเอาไปวัด แล้วถามหน่อยสิคะ
ก่อนจะเอาไปวัดอ่ะ เคยหันมาถามพ่อกับแม่ของเราบ้างไม๊
ว่าท่านอยากกินอะไรรึเปล่า หรืออยากทำอะไรบ้างไม๊
อยากออกไปไหนรึเปล่า


ทำไมตอนเด็ก ๆ เราอยากออกไปไหน
พ่อกับแม่ เต็มใจและยินดีจะพาเราไปให้ได้ทุกที่
แต่เรากลับไม่มีปัญญาพาพ่อกับแม่ไปเที่ยว ไปวัดได้บ้างเลย
หรือเอาแค่ง่าย ๆ แค่พาพ่อกับแม่ไปวัดอ่ะ 
สมัยนี้ยังมีลูกคนไหนพาพ่อกับแม่ไปได้บ้างไม๊อ่ะ


เพื่อน แฟน พอหลุดไปก็เป็นคนอื่นนะคะ
แต่บุพการีผูกพันกันโดยสายเลือด
ไม่มีวันหลุดจากวันอยู่แล้ว และคุณได้ตอบแทนบุญคุณของบุพการีแล้วหรือยัง
หรือจะรอแค่วันแม่แล้วค่อยตอบแทน
ระวังวันที่คุณรอ วันนั้นอาจจะไม่มีวันมาถึงก็ได้นะคะ

วิธีทำความดี

การทำความดีไม่จำเป็นต้องใช้เงินเพียงอย่างเดียวหรอกค่ะ
มีหลายวิธีมากมายที่เราสามารถทำความดีได้
แม้ไม่ได้ใช้เงินสักบาท แต่ได้คุณค่าแห่งความดีมากมายยิ่งนัก
ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์, การไหว้พระ, การดูแลบุพการี, หรือการดูแลบุตรบริวาร
การเปลี่ยนน้ำหน้าพระพุทธ, หรือแม้แต่การจูงคนแก่ข้ามถนน
หรือการเสียสละที่นั่งให้แก่คนชราหรือเด็ก 
สิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ล้วนแต่เป็นการทำความดีด้วยกันทั้งนั้น
แต่การทำแบบนี้เป็นการที่เราเอาตัวของเราเข้าไปสร้างความดีค่ะ
ซึ่งบางครั้งอาจจะได้บุญมากกว่าการใช้เงินทำอีกด้วยนะคะ
เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดเป็นความดีขึ้นมาจากจิตใจก่อนเลยค่ะ
เพราะอยากให้ผู้อื่นได้ดี โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
นี่แหล่ะคือสูงสุดแห่งการทำความดีแล้วค่ะ
เห็นไม๊ว่าไม่ต้องมากมาย แค่เพียงเรามีน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ 
ก็สามารถช่วยเหลือให้ผู้อื่นมีความสุขได้
โดยที่ตัวเราเองก็ไม่ได้เกิดความทุกข์อะไรเลยค่ะ

ความดีไม่มีขาย

"ความดี ไม่มีขาย  อยากได้ ต้องทำเอา"
ประโยคนี้ใช้ได้ดี และใช้ได้จริง ๆ นะคะ
คนไทยในปัจจุบัน มุ่งเน้นแต่การมองหาเงินตรา
ซึ่งเป็นเพียงส่วนประกอบในการดำรงชีวิตเท่านั้น
แต่จริง ๆ แล้วเราทุกคนเกิดมาเพื่ออะไร
เพื่อที่จะหาเงิน, เพื่อที่จะทำงาน, เพื่อที่จะเก็บเงิน,
และที่เราดิ้นรนหาเงินมาด้วยความอยากลำบาก
เราเอาเงินเหล่านั้นมาทำอะไร 
เราก็เอาเงินเหล่านั้นมาซื้อหา มาบำบัดความต้องการของเรา
มาบำบัดความอยากของเรา ซึ่งบางครั้งต้องบอกกันไว้ก่อนเลยนะคะ
ว่า "ความอยากของมนุษย์ ไม่เคยมีคำว่าพอ"
เมื่อเราเติมในจุดนี้เต็ม  มันก็จะมีจุดใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว
ไม่เหมือนน้ำในแก้วนะคะ ที่ยังมีวันเต็ม
เราดิ้นรน เรามองหาแต่สิ่งประกอบภายนอก
ตรีอยากจะรู้เหลือเกินว่า "เราทุกคนมีเวลาอยู่กับตัวเอง วันละกี่นาที"
ที่ไม่ต้องมีมือถือ, ปาล์ม, ไอแพด, โน๊ตบุ๊ค เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิต
เราทุกคนรู้หรือไม่ว่า ในขณะที่เรากำลังดิ้นรนสนองความอยากอยู่นั่นเอง
มันยิ่งทำให้กิเลสของเราพอกพูดขึ้นทุกวัน ๆ 
ทำไมเราไม่หัด ละ วาง หรือปล่อยมันออกไปบ้าง
ด้วยการทำบุญ บริจาคทาน เริ่มทำทีละเล็กทีละน้อย
ค่อย ๆ ทำเพื่อให้มันเป็นนิสัย และทำจนกลายเป็นความเคยชิน
นี่เป็นเพียงพื้นฐานแห่งการทำความดี ซึ่งในปัจจุบัน
คนไทยน้อยคนนักที่จะตื่นมาแล้วใส่บาตรพระ หรือไปวัด
"เงินซื้อความสุขไม่ได้ทุกอย่างนะคะ"
ทำไมเราไม่รีบสะสมความดีก่อนที่มันจะสายเกินไป
ในเมื่อวันนี้เรายังมีแรง ยังมีพลังเหลือเฟือที่จะสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับสังคม
บางครั้ง ความสุข อาจจะไม่ใช่การซื้อของมาปรนเปรอความต้องการของตัวเองหรอกนะคะ
ความสุขอาจจะเกิดขึ้นจากการให้โอกาสผู้อื่นที่ด้อยกว่าเรา "ก็ได้นะคะ"

เพิ่งรู้

เวรกรรมไม่ต้องไปรอกันที่ชาติหน้าแล้วค่ะ
ชาตินี้อ่ะ ก็ได้รับผลกรรมกันได้นะคะ
ตรีก็มานั่ง ๆ คิดอยู่เหมือนกันนะคะว่าทำไมถึงไม่ค่อยมีคนใกล้ชิดเห็นหัวเราสักเท่าไหร่
เพิ่งนึกได้เมื่อกี้นี้เองค่ะ ตอนจะโพสต์บทความนี่แหล่ะ
เพราะก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว
ตอนนั้นบ้านของตรียังรวยอยู่ค่ะ ย่าเล็กยังแข็งแรงอยู่มาก
และแม่ของตรีก็ยังเป็นผู้ดูแลทางด้านการเงินของบ้านนะคะ
แต่พอดีตรีก็ไม่ได้ใช้อะไรฟุ่มเฟือยหรอกนะคะ
เพียงแค่อยากได้อะไรก็ได้ แต่ด้วยความที่ตรีไม่ติดแบรนด์เหมือนคนอื่น
แต่สิ่งที่ตรีกระทำกับคนรอบข้างคือ นิสัยที่ไม่เห็นหัวคน
ไม่มีความอดทน และชอบวีน ชอบเหวี่ยงใส่แม่ตลอดเลยค่ะ
ไม่ได้อะไรนะ ตรีขึ้นเสียงตลอดเลยอ่ะ นี่ยังดีนะเนี่ยที่ลูกชายของตรี
ไม่มาขึ้นเสียงกับตรีอ่ะ  แต่ก็เถียงไม่ยอมหยุดเลยเหมือนกันค่ะ
ลูกชายที่เคารพ และในวันนี้ที่คนอื่นไม่เห็นหัวตรีก็เพราะมีเหตุผลเช่นนี้นี่เอง
ก็คงไม่แปลกใจแล้วแหล่ะว่า "ทำไม"
เพราะวันนี้ตรีรู้คำตอบของมันเรียบร้อยแล้วค่ะ
และสำหรับบททดสอบต่อไปที่กำลังจะได้เรียนรู้
ตรีว่า "ตรีคงจะพร้อมแหล่ะนะ"

บททดสอบนี้ผ่านไปแล้ว หลังจากงมโข่งอยู่ตั้งนาน
ว่ามันเกิดจากอะไร ซึ่งไม่น่าจะเป็นกรรมจากอดีตชาติ
แต่ก็นะ สุดท้ายแล้วเราก็ได้รู้ด้วยตัวของเราเอง
ขอแค่ให้เรามีสติ แล้วปัญญาจะมาเกิดเองค่ะ

ชีวิตในวัยเด็ก

ตั้งแต่ตรีจำความได้ ก่อนนอนทุกคืน
แม่ของตรีจะต้องสวดมนต์ค่ะ (แม่นอนสวดมนต์ตลอด)
แต่แม่ไม่ได้สวดให้ตัวเองนะคะ แม่สวดให้น้องชายของแม่
ให้ธุรกิจของเค้าไปได้ด้วยดี ให้เค้าเจริญรุ่งเรือง
ตรีไม่เคยเห็นแม่สวดมนต์ให้ตัวเองเลยอ่ะ

เราก็นอนเรียงกัน 4 คนค่ะ
(ทุกคนไม่ใช่ลูกของแม่นะคะ)
ญาติพี่น้องเอามาฝากให้แม่ตรีเลี้ยงทั้งนั้นค่ะ
มีพี่สาวคนโต มีตรี มีแม่ และน้องชายคนเล็ก
นอนกันบนพื้นบ้าง บนที่นอนบ้าง มีทีวีเครื่องเล็ก ๆ ไว้ให้ดู
ตรีจะเห็นแม่สวดมนต์ทุกคืน

จนกระทั้งวันหนึ่งค่ะ
ที่ตรีพอจะเริ่มอ่านหนังสือเป็น ตรีเห็นกระดาษขนาด A4 หนึ่งแผ่น
วางอยู่เสมอ ตรีไม่รู้หรอกนะว่านั่นคืออะไร และตรีก็เริ่มอ่านมัน
อ่านไปเรื่อย ๆ และเริ่มจำได้ และไม่รู้หรอกค่ะว่า
นั่นคือ "พระคาถาชินบัญชร"

ต้องบอกก่อนเลยนะคะว่า ครอบครัวของตรีไม่มีใครฉลาด
ทุกคนแค่เรียนพอไปวัดไปวาได้ ไม่ถึงกับขี้เหร่
แต่ทำไมตรีถึงมีความฉลาดเยอะกว่าคนอื่น
ก็เพราะตรีสวดพระคาถาชินบัญชร ตั้งแต่ตรี 7 ขวบค่ะ

ตรีสวดอยู่เรื่อย ๆ ไม่เคยขาดนะคะ
และไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากศาสนาได้นานหรอกค่ะ
พอถึงเวลาตรีก็กลับมาสวดอีกเหมือนเดิม
ชีวิตของตรีจะวนเวียนอยู่กับการสวดมนต์เยอะมาก ๆ เลยค่ะ
ก่อนที่จะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า
"ทุกวันนี้ที่รอดชีวิตมาได้ จากปากเหยี่ยวปากกาก็เพราะการสวดมนต์"
นี่แหล่ะค่ะที่รักษาชีวิตของตรี ให้อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้

แค่พระคาถา 1 บท ที่ตรีได้เรียนรู้มา
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
กลับเปลี่ยนชีวิตของตรีจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะคะ
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วตรีเรียนหนังสืออะไรไม่จบสักอย่าง
แถมยังมีลูกก่อนที่จะแต่งงาน และยังหนีออกจากบ้านไปอีก
และเอาลูกมาฝากให้แม่เลี้ยง อีกต่างหาก

เมื่อมองย้อนกลับไป ตรีคงได้อานิสงค์จากการสวดมนต์มาเยอะทีเดียวค่ะ
เพราะชีวิตของตรีเคยเจออะไรที่มันไม่น่ารอดมาแล้วหลายครั้ง
แต่ก็รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ และทำให้ตรีเชื่ออย่างสนิทใจเลยค่ะ
ว่าพระพุทธศาสนาสอนคนได้จริง ๆ และสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนได้จริง ๆ
และที่สำคัญที่สุดคือ "พึงเห็นได้เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติเท่านั้นค่ะ"

ใครที่ไม่ได้ปฏิบัติ พูดไปให้ปากฉีดถึงใบหู
เค้าก็คงไม่มีวันที่จะเข้าใจ และสามารถรับรู้ได้ถึงปาฏิหาริย์แห่งการสวดมนต์
ปาฏิหาริย์ในการสร้างความดี  การทำทาน  การถือศีล
ดังนั้นสำหรับใครที่ชีวิตตกต่ำ และคิดว่าจะต่ำไปอีกนาน
เริ่มต้นสวดมนต์กันดีกว่านะคะ เพราะการสวดมนต์คือการทำความดี
ที่ไม่สามารถทำได้กับทุก ๆ คนนะคะ คนบางคนที่มีบุญในส่วนนี้เท่านั้นค่ะ
ที่จะสามารถสวดมนต์ได้ และมีสติ

เกี่ยวกับชาติกำเนิด

ตรีเกิดและเติบโตมาในครอบครัวใหญ่ ที่มีชื่อเสียง มีหน้าตาในสังคมค่อนข้างดี
ในบ้านตรีอยู่รวมกัน 4 ครอบครัวค่ะ 
เป็นบ้านกลางใจเมือง ที่มีเนื้อที่เกือบ 5 ไร่ 
บรรพบุรุษของตรีเป็นคนจีนอพยพมาประเทศไทย นานมาก ๆ แล้วค่ะ
จ๊อหนีพ่อกับแม่ขึ้นเรือสำเภาจีน มาตั้งรกรากในประเทศไทย
ด้วยเสื่อ 1 ผืน หมอน 1 ใบ และหีบกำปั่น 1 หีบ
ซึ่งตอนนี้ หีบใบนี้อยู่ที่ตรีค่ะ ตรียังเก็บรักษาไว้อย่างดี
จ๊อเริ่มต้นจากการเป็นคนงานแบกข้าวสารที่ท่าเรือ
ในระหว่างนั้นจ๊อก็เริ่มจับจองที่ทางภายในจังหวัดชุมพรค่ะ
ที่ไหนที่ต้องบุกป่าฝ่าดงไปถางก็จะไปค่ะ จ๊อเป็นคนที่เก่งคนหนึ่งจริง ๆ ค่ะ
เพราะหลังจากนั้นไม่นาน จ๊อก็สามารถมีโรงยาฝิ่นเป็นของตัวเอง
และต้องเลิกในที่สุด เพราะรัฐบาลออกกฎหมาย "ห้ามสูบฝิ่น"
จ๊อมีลูกทั้งหมด 5 คนค่ะ เป็นผู้ชาย 3 ผู้หญิง 2 คนค่ะ
แต่ตอนที่ตรีเกิดมา ตรีเห็นแค่ย่า 2 คนเท่านั้นค่ะ
ซึ่งตรีจะเรียกท่านว่า "ย่าใหญ่" และ "ย่าเล็ก"
ต่อมาในครอบครัวของตรีก็ได้ประกอบธุรกิจหลายอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็น "ท่าทราย, ขายอะไหล่เซียงกง, โรงสีข้าว"
แต่ทุกอย่างก็ไม่ประสบความสำเร็จค่ะ จนมาทำเอเย่นต์เบียร์สิงห์
และสุดท้ายก็ล้มละลายในที่สุดค่ะ เพราะอะไรตรีไม่รู้
แต่ที่ตรีสัมผัสได้ จากตัวตรีเอง จากคนที่เคยรวยล้นฟ้า
จนในวันนี้ แม้แต่บ้านก็ไม่มีเป็นของตัวเอง และทุกคนในครอบครัว
ก็ต้องแตกแยก ระหกระเหินกันไปคนละทาง
ความสามัคคี ความปรองดองที่เคยมี ก็มีอันต้องหมดลง
เมื่อก่อน ย่าเล็ก จะชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ คอยสนับสนุน
เหมือนงานของย่าเล็ก คือการสร้างคน ให้โอกาสเค้า
แต่ย่าเล็กจะไม่ค่อยเชื่อในเรื่องของการทำบุญ และสวดมนต์
ซึ่งต่างกับย่าใหญ่ที่เชื่อมั่นและศรัทธาอย่างจริงจังที่จะทำบุญ
ไม่นานหลังจากย่ามุ่งมั่นที่จะกอบกู้ฐานะทางการเงินของบ้านไว้
และย่าก็แก่มาก ๆ แล้วค่ะ วันที่ย่าของตรีล้ม คือวันที่บ้านหลังนั้น ล้มเช่นกัน
คนที่ย่าเคยช่วยเหลือ ไม่มีใครหวนกลับมาหาย่าเลยสักคน
ย่า 2 คนของตรี เสียชีวิตห่างกันไม่ถึง 2 อาทิตย์เลยค่ะ


อารัมภบท

อยากมีสถานที่ ที่เราสามารถระบายอะไรลงไปก็ได้
ไม่ใช่เพียงแค่แสดงความรู้สึก แต่มันคือประสบการณ์จากทั้งชีวิต 
ที่ตรีได้เรียนรู้ และผ่านมันมาด้วยตัวเองทั้งนั้น
และนี่จะเป็นบล็อกสุดท้าย หลังจากตรีตั้งมาเยอะมากเลยค่ะ
ตั้งมาหลายบล็อกแล้ว แต่ไม่เคยมีอันไหนมีจิตใจตั้งมั่น
ที่จะทำเหมือนบล็อกนี้เลยค่ะ จะพยายามถ่ายทอดทุกอย่างที่ได้เรียนรู้มา
เพื่อให้หลาย ๆ คนได้อ่าน และสามารถนำไปปรับปรุงและใช้ในชีวิตของพวกเค้าได้
หลายคนคงงงนะคะ ว่าแล้วตรีเป็นใคร ทำไมประสบการณ์ชีวิตของตรีถึงจะมีค่าต่อหลายคน
เพราะตรีเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งค่ะ ที่เคยล้มเหลว ที่เคยเหลวแหลก
และอยากให้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตของคนหนึ่งคน
ได้กลายเป็นอุทาหรณ์ให้กับอีกหลาย ๆ คนให้เค้าได้เรียนรู้
และจะได้ไม่ต้องทำตามนะคะ ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะดีหรือไม่ดี
ตรีก็แค่อยากให้ทุกคนได้อ่าน เรียนรู้มัน ซึมซับมันไว้
ด้วยใจ อย่าเพียงแค่อ่านให้มันผ่านเลยไปนะคะ